Teerapon Chaijit

This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

For a song.


SONG: ความรู้ใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับ Song ซึ่งแปลว่าเพลง แต่ท่านทราบกันหรือไม่ว่า สำนวนที่เกี่ยวกับ Song อาจไม่เกี่ยวกับเพลง วันนี้เราจึงนำสำนวนที่เกี่ยวกับ Song เเละน่าสนใจที่สุดเลยก็ว่าได้ มาให้ท่านได้ศึกษากัน 

Song: ในความหมายที่เรารู้จักนั่นคือ "เพลง" หรือ "บทเพลง" แต่จะมีใครรู้ละว่า for a song จะมีความหมายว่า "ราคาถูกมาก" ยกตัวอย่างเลยนะครับ เช่น I bought a mobile for a song. "เมื่อวานผมซื้อโทรศัพท์ซึ่งราคามันถูกมากเลย" แน่ะเห็นไหมล่ะครับ

และไม่ใช่เพียงเเค่นี้ ยังมีอีกสำนวนหนึ่งซึ่งผมเเน่ใจว่าทุกๆ คนที่เพิ่งหัดเรียน เขียน อ่าน เนี้ยจะไม่เข้าใจ นั่นคือ Song and dance (ร้องแล้วก็เต้น...) เห้ยไม่ใช่!! สำนวนนี้นะครับมีความหมายว่า "เรื่องโกหก" "เรื่องไร้สาระ" ครับ หว๊าาาคนละอย่างเลยอ่ะ คนละเรื่องเลย เนาะ...

ยกตัวอย่างสำนวน song and dance นะครับ The student told the teacher a song and dance about his mother being sick as an excuse for his coming to school late. เด็กนักเรียนโกหกคุณครูว่าแม่ของเขาป่วยเพื่อเป็นข้อแก้ตัวที่ตนมาสาย

แน่นอนละผมว่าทุกคนเคยใช้กันบ่อยๆ ฮ่าๆ

คำศัพท์ที่ควรรู้
- song, for a = ราคาถูกมาก
- song and dance = เรื่องโกหก, เรื่องไร้สาระ
- excuse = อ้างเหตุผล (ข้อแก้ตัว ชัดๆ)

IDM:
- For a 'song (Informal) that is every cheaply; at a low price.
- a song and dance (about sth)
//// (BrE, informal, disapproving) if you make a song and dance about sth, you complain or talk about it too much when this is not necessary
//// (NAmE, informal) a long explanation about sth, or excuse for sth.

Words:
- IDM = idioms (สำนวน)
- informal = ไม่เป็นทางการ (กันเอง)
- cheaply = ( Cheap (ราคาถูก) + ly ) = อย่างถูก หรือ ถูกมากนั่นเอง
- disapprove = ไม่เห็นด้วย
- sth = Something (บางสิ่งบางอย่าง)
- complain = พูด (ในเชิง "ร้องทุกข์")
- necessary = จำเป็นจริงๆ หรือ เลี่ยงไม่ได้
- explanation = ชี้เเจง
- excuse = อ้างเหตุผล

Fire English กับสำนวน For a song, song and dance ฝากไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ

"A couple of" Or "A series of"



A COUPLE OF: ซึ่งแปลว่า "หนึ่งคู่" "สอง" หรือ "2-3 อัน, หลาย (วัน, อาทิตย์, เดือน, ปี ฯลฯ) a couple of เนี้ยศัพท์ข้างเคียงก็คือ a pair of ซึ่งมีความหมาย เหมือนกัน แต่วันนี้ เราจะมา แยกแยะ ระหว่างการใช้ a couple of กับ a pair of ไปพร้อมๆ กันนะครับ

มาเริ่มต้นกันที่ a couple of นะครับ คือ a couple of เนี้ย ท้ายคำจะต่อด้วยคน หรือสิ่งของก็ได้นะครับ และใช้ในประโยคที่มีความเชื่อมโยงระหว่างคนกับสิ่งของ ซึ่งเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน (ฮันแน่ะ "งง" กันล่ะสิ) มา ยกตัวอย่างกันเลยนะครับ

- เช่น I will move to Udon Thani in a couple of days. "ผมจะย้ายไปอยู่ที่อุดรธานีในอีกไม่กี่วันที่จะถึงเนี้ย) --- > (อีกไม่กี่วันที่จะถึง คือ 2-3 วัน นั่นเอง)

เห็นไหมล่ะครับว่า a couple of มีความเชื่อมโยงระหว่างคนกับสิ่งของยังไง และนี้เป็นประโยคที่สมบูรณ์
หรือเราจะพูดลอยๆ ออกมาก็ได้ แค่ประโยคมันจะไม่สมบูรณ์เท่านั้น ถามว่าสามารถใช้คุยกับชาวต่างชาติรู้เร่ืองไหม? ตอบได้เลยครับว่า รู้เรื่องเหมือนกัน เช่น

เมื่อมีชาวต่างชาติถามว่า
- When do you moving?
เราสามารถตอบไป ฮ้วนๆ สั่นๆ ว่า
- in a couple of days = ภายใน 2 - 3 วัน (ตัวอย่างนี้เป็น prepositional phrase)

อีกหนึ่งตัวอย่าง
- What shall I get her for her birthday?
- a couple of birds = ลูกนกซัก 2 ตัวก็โอแล้ว หรือ นกซักคู่หนึ่งน่าจะดีนะ (ส่วนนี้เป็น Noun Phrase)

อนึ่ง a couple of ยังแสดงความหมาย a few; several อีกด้วย คือ "จำนวนมาก นั่นเอง" เช่น Can you wait me for a couple of years. นานไหมครับ 2-3 ปี รอได้ไหมครับ เยอะไหม? เยอะ!! ฮ่าๆๆ

ส่วน a pair of สั่นๆ เลยนะครับ คือ a pair of ท้ายคำมักต่อด้วยคำนามที่หมายถึงสิ่งของที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เช่น รองเท้า เป็นต้น จอบอ จบ! ครับ

Fire English กับการใช้งานระหว่าง a couple of และ a apir of ฝากไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ

วลีที่เกี่ยวข้องกับคำว่า "มาก","หลาย","มากพอสมควร"



A NUMBER OF: วลีนี้มีความหมายว่า "มาก" "หลาย" หรือ "มากพอสมควร" 

คุณรู้หรือไม่ว่า? วลีที่เกี่ยวข้องและให้ความหมายว่า "มาก" นั้น มีเยอะแยะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น a good / great deal (of), a good / great many (of), a large amount of, a lot (of) และ a number of ต่างก็ให้ความหมายว่า มาก หลาย อเนกอนันต์ทั้งสิ้น แต่มีหลัการใช้งานไม่เหมือนกัน ดังนี้

- a good many (of)
- a great many (of)
- a number of

วลีข้างบนที่ท่านเห็นนั้น ใช้เพื่อขยายคำนามที่นับได้ ยกตัวอย่างเช่น

- a good many (of)
#Ex: They are the best friend and have known each other for a good many years. "พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีและรู้ใจกันว่านานหลายปีแล้ว"

- a great many (of)
#Ex: A great many of people come here to cheer the football world cup. "ผู้คนจำนวนมหาศาลมาที่นี่เพื่อชมและเชียร์ฟุตบอลโลก"

- a number of
#Ex: A number of students were absent from yesterday's class. "นักเรียนจำนวนไม่น้อยเลยนะที่ขาดเรียนเมื่อวาน"

ส่วนสำนวนที่เหลือดังต่อไปนี้ ใช้ขยายคำนามที่นับไม่ได้
- a great deal (of)
- a large amount of

ยกตัวอย่างเช่น
- a great deal (of)
#Ex: I spent a great deal of time in creating this website. "ฉันใช้เวลามากพอสมควรในการสร้างเว็บไซต์นี้"

- a large amount of
#Ex: A large amount of money was spent on the Dam. "เงินจำนวนมหาศาลถูกใช้ในการสร้างเขื่อนแห่งนี้"

ส่วนสำนวน a lot (of) เราสามารถนำไปใช้เพื่อขยายนามทั้งสองอย่างนี้ได้ คือใช้ขยายได้ทั้งนามนับได้และนับไม่ได้ นั่นเอง
#ยกตัวอย่าง เช่น I feel a lot better today "ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยวันเนี้ย"

และนอกจากนี้สำนวน a great deal หากเราจะใช้ในความหมาย "much" แล้วละก็ ท้ายคำหรือสำนวนมักจะตามด้วยข้อความที่ใช้ในการเปรียบเทียบ (degrees of comparison) เสมอ! เช่น You must be a great deal cleverer than Albert Einstein. "คุณต้องเป็นคนที่เก่งและฉลาดกว่า อัลแบร์ท ไอน์ชไตน์ แน่นอน"

คำศัพท์น่ารู้
- clever = "เฉลียวฉลาด" "รอบรู้"

Fire English กับการใช้งานระหว่าง a number of และสำนวนที่ให้ความหมายว่ามากมายอเนกอนันต์ ก็ฝากไว้เพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ

-ed vs -ing



How different between the Adjective with -ed and -ing?

Adjective -ed นั้นใช้ทำอะไรหรอ? หลายคนอาจจะยังสงสัยกันอยู่ใช่ไหมครับ และ -ing มีความสำคัญยังงัยซึ่งบางคนก็ยังไม่รู้ 

ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูไปพร้อมๆ กัน

การเติม -ed นั้น จะอธิบายถึง ความรู้สึกของคน (people) ว่ารู้สึกเยี่ยงไร!!

เช่น ฉันรู้สึกเบื่อ = I am bored. / ฉันรู้สึกสับสน = I am confused.

แต่อย่างไรก็ตาม เรามักจะสับสนเกี่ยวกับการใช้ -ed และ -ing ซึ่งบางคนนำเอา -ing มาใช้แทนการแสดงความรู้สึกตน บอกตรงนี้เลยนะครับมันผิด ดังนั้นเมื่อเราต้องการอยากบอกว่าตัวเราเองรู้สึกยังงัย ให้ใช้ -ed

โครงสร้างของ -ed อธิบายความรู้สึกตน (คน)

Subject (Somebody) + v. to be + adjective with -ed.

เอ่า!! แล้ว -ing ล่ะ!!! อ่า...บอกกันตรงนี้เลยว่า -ing ใช้บรรยายสิ่งของ และ สื่อต่างๆ ที่เรารู้สึกว่ามัน...(น่าเบื่อ)....(สับสน)....และอื่นๆ อีกมากมาย

ซึ่งจะขอยกตัวอย่าง adjective เดียวกัน (bore) (confuse) เพื่อสร้างความเข้าใจให้ผู้อ่าน

ตัวอย่างเช่น The movie is boring = ภาพยนตร์เรื่องนั้นน่าเบื่อ / The lecture is confusing = การบรรยายนั้นดูสับสน

และนี้ก็คือโครงสร้างของ -ing อธิบายถึงสิ่งของหรือสื่อต่างๆ ที่ตนรู้สึกว่ามันน่า...(น่าเบื่อ)....(สับสน)....

Subject (Something) + v. to be + adjective with -ing.

ซึ่งบางตำรา
-ed จะแปลว่า รู้สึก
-ing จะแปลว่า น่า

ลองนำไปใช้พลิกแพลงดูนะครับ

Never mind.


หลายคนอาจมองว่า Never mind. แปลว่า ไม่เป็นไร ซึ่งใช้ในการกล่าวบอกกับชาวต่างชาติ ในทำนอง ด้วยความเต็มใจช่วยเหลือ หรืออะไร ต่อมิไรเมื่อ ชาวต่างชาติ ขอบคุณเรา

จริงๆแล้ว คุณใช้ผิด

เนื่องจาก คำว่า Never mind นั้นให้ความหมายว่า ช่างมันเถอะ หรือ ลืมมันไปซะ!!

ซึ่งใช้ในการไม่อยากพูดไรซ้ำๆ ซากๆ และใช้กับเรื่องที่ไม่น่าจดจำ 

ถ้าท่านต้องการบอกกับชาวต่างชาติ ว่าไม่เป็นไร ด้วยความเต็มใจช่วยครับ ท่านจะพูดว่า You're welcome / My pleasure (ด้วยความยินดี) และอีกสำนวน Don't mention it / No problem / It's not a problem (ไม่เป็นไร) ครับ

วลี According to เพื่อใช้ในงานวิจัย


การทำงานวิจัยนั้น ต้องอาศัยทักษะหลายๆ อย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านการพบปะพูดคุย ศึกษา ค้นคว้า และอีกหลายๆ อย่างมาประกอบกัน

ดังนั้นจะเห็นว่า มักจะมีคำเหล่านี้ ( "ตามที่....." "จากการ....." หรือจะเป็นคำพูดของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เช่น "คุณ......ได้กล่าวไว้ว่า......" ล้วนแล้วแต่เป็นการให้เครดิต หรือให้เกียรติและเคารพทางปัญญาของเขา

เมื่อจะกล่าวถึงการอ้างอิงในภาษาอังกฤษแล้ว ก็จะมี According to ที่เสมือนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการอ้างถึงแหล่งข้อมูล แหล่งที่มา และแน่นอนว่าต้องมี วลี หรือคำศัพท์อื่นๆ ที่ใช้ในการอ้างถึงแหล่งข้อมูล แหล่งที่มา เช่นเด่วกัน และ sb. said (that) ก็เปรียบเสมือนทางเลือกอีกทางเลือกหนึ่งด้วย

ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึง 2 สิ่งที่ยกมาข้างต้นนี้ว่าใช้ต่างกันไหม? หรืออย่างไร?

- sb. said (that) เป็นการอ้างถึงบุคคลที่ให้การ หรือให้ข้อมูลที่เราต้องการ และเรานั้นได้นำสิ่งที่เขาให้เรา มาอ้างในงานวิจัยของเราเอง

และการใช้งาน ไอ่ sb. said (that) เนี้ยก็มีอยู่ว่า
sb. said (that) (ต้องตามด้วย) S+V เช่น

Airports of Thailand (AoT) chairman ACM Sumet Phomanee said the airport was closed to flights from 2 p.m. yesterday.

จะเห็นได้ว่า
........(ขยาย)......Sumet Phomanee said (that) the airport was closed......(รายละเอียดหรืออธิบายเพิ่มเติม).....ครบทุกองค์ประกอบที่ได้กล่าวมาข้างต้น.



ส่วน According to นั้นจะเป็นการอ้างถึงแหล่งข้อมูล แหล่งที่มา ว่านำข้อมูลนั้นมาจากที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการสือค้น จาก Internet, Books, Materials, Newspaper etc. ซึ่ง according to นี้จะมีความหมายว่า "จาก...(การสืบค้น)....(งานวิจัย)....อื่นๆ" หรือจะแปลว่า "ตามที่...(รายงานข่าว)...(บุคคลได้กล่าว)...อื่นๆ"

ให้จำไว้ว่าสิ่งไหนก็ตามที่เราเอามาจาก วารสาร หรือสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของบุคคลที่ไปเจอในสื่อ หรือวารสาร ให้ใช้ according to ซึ่งจะแตกต่าง จาก sb. said (that) เนื่องจาก sb. said (that) นั้นเราต้องไปสัมภาษณ์เอง

และวิธีการใช้ According to ก็มีอยู่ว่า

According to + N, S+V

หลายคนอาจสงสัยว่าหลัง According to ทำไมต้องเป็น N?

เนื่องจาก วลี According to นั้นเป็นคำบุพบทผสม (Compound preposition) ฉะนั้นท้ายคำมักจะตามด้วยคำนามเสมอ เช่น

According to newspaper, floodwater entered the runways of Don Mueang from the adjacent Wing 6 of the air force.

If You never TRY, You'll never KNOW.


เมื่อเราจะศึกษาคำศัพท์ตัวใดตัวหนึ่งให้รู้เเจ้งแล้ว เราจะใช้เวลานานมากพอสมควรในการทำความเข้าใจมัน เนื่องมาจากคำศัพท์แต่ละคำนั้นมีความหมายเยอะแยะเต็มไปหมด อีกทั้งหน้าที่ของคำแต่ละคำก็ต่างกันออกไปด้วย เมื่อเราจะสรุปการใช้งานของคำๆ หนึ่ง อาจใช้ความยาว 1-2 หน้ากระดาษ A4 เลยทีเดียว

แต่ทว่า หลายๆ คนไม่ให้ความสำคัญกับคำศัพท์มากเท่าไหร่นัก แค่รู้ว่าความหมายก็เข้าใจแล้วว่าหมายถึงอะไร และคิดว่าตนเก่งพอแล้ว และไอ่คำว่า "เก่งพอแล้ว" เนี้ยแหละทำให้เรานั้นหยุดพัฒนาตนเอง หยิ่งทนงในตนเอง แต่หารู้ไม่ว่าคุณกำลังเสื่อมถอยลงไปเลื่อยๆ

ถ้าเมื่อไหร่คุณคิดว่าคุณเก่งพอแล้ว คุณลองมองลงไปที่คำศัพท์เหล่านี้ (Dog, Like, Red, Water) สิว่า คุณรู้อะไรเกี่ยวกับคำศัพท์เหล่านี้บ้าง และแน่นอนว่า ศัพท์ตัวแรกแปลว่า "หมา" หรือ "สุนัข" (ในภาษาที่สุภาพ) แต่คุณรู้มากกว่านี้ไหม? ว่าศัพท์ตัวนี้มีโครงสร้างในการใช้งานยังไง? มีหน้าที่คำแบบไหน? แต่ละหน้าที่แตกต่างกันอย่างไร? และสำนวนที่เกี่ยวข้องล่ะมีบ้างไหม? แล้วคำแสลงเกี่ยวกับคำศัพท์นั้นล่ะเป็นยังไง? และยังมีคำถามอีกมากมายที่เรายังหาคำตอบไม่เจอ

เมื่อคุณลองมองมันสัก 10-20 นาที คุณจะเห็นว่าคุณรู้เพียงเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้นเอง

และผู้เขียนอยากฝากไว้ ณ ที่นี้คือ
>>> ไม่มีใครโง่ หรือ ฉลาด <<< หลอกครับ
แต่จงจำไว้ว่า >>> แค่รู้กับไม่รู้เท่านั้น <<<

ถ้าวันนี้คุณยังไม่รู้ คุณก็อย่ารอช้าที่จะรู้ จงหยิบหนังสือขึ้นมาซักเล่มแล้วก็อ่านมันซ่ะ สิ่งตอบแทนที่หนังสือเขามีให้เราก็คือความรู้และความเข้าใจเท่านั้น แต่เมื่อคุณรู้แล้วจงอย่าชะล้าใจ หลงระเริง ไปกับความภาคภูมิ แต่จงศึกษาเลื่อยๆ อ่านซ้ำๆ แล้วนำไปพัฒนาต่อยอด และสิ่งเหล่านั้นจะตอบสนอง และตอบโจทย์ ของคุณเองในอนาคต....